ryaom

ryaom
รักนะคนดี

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

กาญจนา ดอกชมพูภูคา

   ดอกชมพูภูคา

 




 ชมพูภูคา : ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bretschneidera sinensis Hemsl. : ชื่อวงศ์ :   BRETSCHNEIDERACEAE
     ชมพูภูคา เป็นพืชหายากใกล้สูญพันธุ์ที่มีดอกสีชมพูอมขาวงดงาม ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานให้ ชมพูภูคา เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ
    ชมพูภูคา เป็นไม้ต้นสูงได้ถึง 25 เมตร เปลือกเรียบสีเทา ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก ยาว 30-80 เซนติเมตร ใบย่อยไม่มีก้านใบ รูปหอกถึงรูปไข่ กว้าง 2.5-6 เซนติเมตร ยาว 8-25 เซนติเมตร โคนใบมนไม่เท่ากัน ปลายใบแหลม ดอก สีชมพู คล้ายรูประฆัง ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ช่อยาวได้ถึง 40 เซนติเมตร กลีบรองดอกขนาดใหญ่ รูปถ้วยขอบหยักตื้นๆ กลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่กว้าง โคนกลีบเรียวยาว ปลายกลีบม้วนออกด้านนอก ขนาด 1.8-2 เซนติเมตร กลีบบนมักคว่ำลง เกสรผู้ 8 อัน ผล รูปกระสวย แก่แล้วแตก เมล็ด รูปรี กว้าง 12 มิลลิเมตร ยาว 20 มิลลิเมตร
    ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,980 เมตร ดอยภูคานับเป็นยอดดอยที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งของเทือกเขาหลวงพระบางและเป็นยอดดอยที่สูงในลำดับต้นๆ ของประเทศไทย ซึ่งจากสภาพดังกล่าวนี้ทำให้เทือกดอยภูคา มีลักษณะโดดเด่น ในด้านระบบนิเวศของพืชพรรณภูเขาสูงอันอุดมไปด้วยป่าดงดิบเขา ป่าดงดิบชื้น รวมทั้งป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง อีกทั้งเป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำน่านอีกด้วย พันธุ์ไม้ที่สำคัญที่สุดและพบเพียงแห่งเดียวในโลกที่นี่คือ ชมพูภูคา ซึ่งเป็นต้นไม้พื้นเมืองของไทย และเป็นพันธุ์ไม้หายาก ใกล้สูญพันธุ์ชนิดหนึ่งของโลก โดยเมื่อประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าพบพันธุ์ไม้ชนิดนี้ ที่มณฑลยูนานประเทศจีน แต่ปัจจุบันคาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว
    สำหรับในประเทศไทยมีรายงานการสำรวจพบพันธุ์ไม้ชนิดนี้เมื่อมี พ.ศ. 2532 บริเวณป่าดงดิบเขาดอยภูคา อุทยานแห่งชาติดอยภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน โดยลักษณะต้นชมพูภูคานี้จะสูงประมาณ 25 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นประมาณ 50 เซนติเมตร เปลือกเรียบเป็นสีเทา ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวมีใบย่อยรูปไข่แกมรูปใบหอก ปลายใบแหลมยาว แผ่นใบด้านล่างมีนวลสีขาว ช่อดอกตั้งตรงแยกแขนงออกตามปลายกิ่งกลีบเลี้ยงติดกันคล้ายรูประฆัง กลีบดอกสีชมพูมีริ้วสีแดง ออกดอกประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ผลคล้ายมะกอกแต่มีขนาดใหญ่กว่า พันธุ์ไม้ชนิดนี้จากการศึกษาพบว่าจะเจริญเติบโตได้ดีบริเวณป่าดงดิบเขาตามไหล่เขาสูงชันที่มีความสูงตั้งแต่ 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป และมีความชื้นของอากาศสูงอุณหภูมิเฉลี่ยค่อนข้างต่ำตลอดทั่งปี ปัจจุบันได้มีการทดลองเพาะกล้าไม้ชมพูภูคาจากเมล็ดเป็นผลสำเร็จซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ชมพูภูคาไม่สูญพันธุ์จากโลกนี้ต่อไป
   "ชมพูภูคา พันธุ์ไม้ใกล้สูญพันธุ์ของโลก ซึ่งพบเฉพาะที่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่าน"
** ข้อมูลจากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยเรื่องนิเวศธรรมชาติในเมืองไทย-ภาคเหนือ**

ศิราวรรณ ดอกชวนชม

                                             ดอกชวนชม

                                                                 ลักษณะทั่วไป
1) ลำต้น: เป็นไม้เนื้ออ่อน อวบน้ำ ลำต้นและกิ่งมีลักษณะกลม ผิวค่อนข้างเรียบ สีของลำต้นจะมีสีเขียว เหลืองทอง หรืออมเทา เปลือกบางมีกิ่งก้านที่แตกยอดอย่างไม่เป็นระเบียบ ส่วนโคนของลำต้นมีขนาดใหญ่ หรือเล็กแตกต่างกันไปตามการดูแล มีหน้าที่สำหรับเก็บน้ำเพื่อรักษาสมดุลของต้น เรียกว่า "โขด"
2) โขด: หรือรากที่ไม้ดอกชวนชมมีไว้สะสมอาหาร ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกัน เผือก มัน หรือพืชที่มีหัว ทั่วไป โขดของชวนชมจะมีลักษณะแตกต่างกันไปจากการดูแลโดยความงามดูจากความอวบ หรือโขดใหญ่ โขดของชวนชมจะอยู่ใต้ดินหรือโผล่พ้นดินและมีความงามที่แตกต่างกันออกไป
3) ใบ: มีลัีกษณะเป็นใบเดี่ยว ออกเีวีัยนรอบกิ่งคล้ายกังหันหลายๆชั้น ทำให้ดูหนาแน่นตามปลายกิ่ง ใบ ของชวนชมมีหลายลักษณะแต่ต่างกันขึ้นกับสายพันธุ์ เช่นใบรูปไข่ ใบรูปหอก ปลายใบมัีทั้งเว้า มน แหลม และใบตัด ขอบใบเรียบ หยัก หรือเป็นคลื่น แผ่นใบหนาแข็งเขียวเข้มเป็นมัน หรือบางพันธุ์มีขนนุ่มคล้ายกำมะหยี่ที่ใต้ทองใบ มีขนาดเล็กใหญ่ แตกต่างกันออกไป ตามแต่ลักษณะของสายพันธุ์
4) ดอก: ชวนชมจะออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ช่อหนึ่งประมาณ 10-20 ดอก มีทั้งแบบบานพร้อมกันทั้ง ช่อ และทยอยกันบานครั้งละ 4-5 ดอก บานได้นาน 10-20วัน ดอกบานเต็มที่กว้่างประมาณ 8-10 หรืออาจ บานมากกว่าหรือบานน้อยกว่า ขึ้นกับลักษณะทางพันธุกรรม
5) กลีบเลี้ยง : มีลักษณะเป็นกลีบเล็กๆ 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปวงรี ปลายแหลม ติดอยู่รอบโคนดอก เหนือฐานรองดอก มีสีแดง เขียว ชมพูอมแดง หรือเหลืองอมเขียวเมื่อดอกร่วงแล้วกลีบดอกยังคงติดแน่น อยู่ที่ฐานรองดอก เพื่อรักษาสมดุลด้น
6) โคนกลีบดอก หรือหลอดดอก : คือส่วนที่อยู่ต่อจากกลีบเลี้ยงขึ้นมา มีลักษณะเป้นทรงกรวยกลม ยาว โคนหลอดเรียวเล็กลงติดกับกลีบเลี้ยงปลายบานออกติดกับกลีบดอก กลีบดอกมี 5 กลีบ เรียงติดอยู่ รอบโคนกลีบดอก หรือหลอกดอกคล้ายปากแตร แต่ละกลีบมีรูปทรงแตกต่างกันออกไป เช่นรูปทรงกลมรูปทรงไข่ รูปทรงรี หรือทรงโค้งมนต่างๆ
7) เกสรตัวผู้: อยู่ตรงส่วนโคนของหลอดดอก เป็นเรณู 5 อันเรียงติดกันที่ก้านชูเกสรตัวผู้ มีโคนระยาง เชื่อมต่อจากปลายเกสรตัวผู้ยาวขึ้นไปตลอดหลอดดอก 5 เส้นภายในอับละอองเรณูนี้เมื่อแก่ หรือพร้อมที่ จะผสมเกสรจะมีละอองเกสรตัวผู้มีลักษณะเป็นขุยสีเหลืองละเอียด
8) เกสรตัวเมีย: อยู่ส่วนโคนของหลอดดอก ล้อมด้วยเกสรตัวผู้ประกอบด้วยยอดเกสรตัวเมีย ก้านชู เกสรตัวเมีย และรังไข่ ยอดเกสรตัวเมียมีรูปกลม สีขาวขุ่นมีท่อยาวลงไปที่รังไข่ซึ่งอยู่ติดกับฐานรองดอก ภายในรังไข่มีไข่อ่อน เมื่อเกสรตัวเมียพร้อมที่จะผสมเกสรจะมีเมือกเหนียวคล้ายแป้งเปียก และเมื่อมีการผสมพันธุ์ไข่อ่อนภายในรังไข่จะเจริญไปเป็นเมล็กต่อไป
9) ฝักหรือผล: มีลักษณะคล้ายบูมเมอแรง หรือเขาคู่เป็นฝักสองฝักอยู่ติดกัน ปลายและโคนเรียวแหลม ยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตรขั่วของฝักอยู่ตรงตระเข็บแนวเชื่อมระหว่างเขาทั้งสอง ฝักอ่อนมีสีเขียว เมื่อ ฝักแก่จะมีสีน้ำตาลอ่อน ตะเข็บยาวเชื่อม จะแตกออก ภายในมีเมล็ดพันธุ์สีน้ำตาลอ่อนเล็กๆคล้ายเมล็ดข้าว เปลือก มีขนสีน้ำตาลอ่อนเป็นพู่ติดอยู่ที่ปลายแหลมทั้งสองข้าง ขนที่ปลายทั้งสองนี้จะช่วยให้ปลิวตามลม
การเป็นมงคล
คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นชวนชมไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดการชวนชม นิยมชมชอบ เพราะชวนชมเป็นไม้มงคลนามและยังทำให้เกิดแสน่ห์แห่งการดึงดูดตา ดูดใจ ชวนมองยิ่งนัก
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก
เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นชวนชมไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ปลูกควรปลูกในวันพุธเพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาประโยชน์ทั่วไปทางดอกให้ปลูกในวันพุธ
การปลูก
ดิน ดินในประเทศไทยเป็นดินที่ดีและเหมาะสมสำหรับการปลูกไม้ดอกชวนชมอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสภาพภูมิประัเทศตามแหล่งกำเนิดในแถบอัฟริกาซึ่งมีสภาพแห้งแล้วมาก ดินที่เหมาะสมคือดินที่มี ความโปร่งร่วนซุยมีการระบายน้ำได้ดีคล้ายดินทราย ผู้ปลูกส่วนมากมีการเตรียมวัสดุปรุงดินอันได้แก่ กาบ มะพร้าว ใบก้ามปู เปลือกถั่วลิสง แกลบดินและทรายเป็นต้น
 
สูตรดินผสม มีด้วยกันหลายสูตรอันได้แก่
สูตร 1 ทราย 1 ส่วน ใบไม้ผุหรือแกลบผุ 1 ส่วน ปุ๋ยคอกเก่า 1 ส่วน ขุยมะพร้าว ปุ๋ยคอกเก่า
สูตร 2 ทราย 1 ส่วน ขี้เถ้า แกลบ 1 ส่วน ปุ๋ยคอกเก่า 1 ส่วน ใบก้ามปูผุ 2 ส่วน
สูตร 3 ดิน 1 ส่วน แกลบผุ 2 ส่วน ปุ๋ยคอกเก่า 1 ส่วน กาบมะพร้าวสับ 1 ส่วน
การให้น้ำ ไม้่ดอกชวนชมเป็นพืชที่มีลำต้นอุ้มได้ได้เป็นอย่างดี จึงทนต่อสภาพแห้งแล้วได้เป็นอย่างดีแต่หากไม่ดอกชวนชมอยู่ในสภาพดินที่แฉะหรือมีน้ำขังมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการ เฉา เหี่ยว ใบเหลือง และร่วง โขดหรือหัวเน่าได้ง่ายไม้ดอกชวนชมเป็นไม้ที่ทนต่อสภาพแห้งแล้ง และฟื้นตัวได้ง่าย ชวนชมเมื่อ เป็นต้นอ่อนไม่ควรให้น้ำมากเพราะจะทำให้โขดหรือรากเน่าควรให้น้ำอย่างพอดีจะทำให้การเติบโตเป็นไปได้ อย่างต่อหนื่อง และหากเมื่อต้นใหญ่ควรให้น้ำวันละ 1 ครั้งแต่สำหรับฤดูฝนควรงดน้ำตามความเหมาะสม
การให้ปุ๋ย ไม้ดอกชวนชมเป็นพืชที่ไม้ต้องการปุ๋ยมากนัก หากให้ปุ๋ยมากจะทำให้โขดเน่า โดยเฉพาะต้นชวนชมต้นเล็กซึ่งไม่ต้องการธาตุอาหารมาก ควรใส่ปุ๋ยที่มีตัวหน้าสูง เช่น 15-5-5 หรือสูตรเสมอ 15-15-15 ในปริมาณน้อยๆ ทุก2 สัปดาห์ประมาณ 1-2 เดือน เมื่อต้นโตเต็มที่จึงเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยเร่งดอก 8-24-24 ทุก 2 สัปดาห์ ประมาณ 1-2เดือนไม้ดอกชวนชมก็จะให้ดอกตามที่ต้องการ และควรให้ปุ๋ยเสมอเดือนละ 1ครั้งและ ให้ธาตุอาหารเสริมประมาณ 3 เดือนครั้งสำหรับชวนชมที่ติดฝักควรเว้นระยะการให้ปุ๋ยให้ห่างและลดปริมาณ
การตัดแต่งกิ่ง โดยธรรมชาติไม่ดอกชวนชมมีลำต้นที่มีการขยายและบิดตัวที่สวยงามอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีความจำเป็นในการตัดแต่งและบังคับรูปทรงให้เป็นไปตามต้องการ โดยเฉพาะเมื่อชวนชมมีอายุประมาณ 3 ปีขึ้นไปจะมีการตกแต่งกิ่งก้านให้เป็นพุ้มเป็นระเบียบสวยงาม สำหรับต้นที่ไม่ค่อยได้ตัดแต่งกิ่งจะทำให้กิ่งก้าน มีความสูงชะลูดและลำต้นอาจหักได้เมื่อเจอลมแรง ดังนั้นการตัดยอดจึงควรใช้มีดที่คมและสะอาดตัดชิดลำ ต้น ไม่ควรเหลือตอ และถ้ารอยตัดมีขนาดมากกว่า1 เซนติเมตร ควรใช้ปูนแดงทาที่รอยตัดเพื่อกันเชื้่อรา
การเลี้ยงโขด ในอดีตการเพาะเลี้ยงไม้ดอกชวนชมนิยมเลี้ยงให้มีดอกเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันมีชวน ชมลูกผสมจากต่างประเทศโดยเฉพาะสายพันธุ์ฮอลแลนด์ซึ่งมีโขดเป็นจุดเด่น และมีลักษณะสวยงามจึงทำให้มีผู้นิยมเลี้ยงไม่ดอกชวนชมให้มีดอกที่สวยงามตวบคู่ไปกับการเลี้ยงโขดให้มีโขดใหญ่สวยงาม โดยการทำให้ชวนชมสะสมอาหารไว้ที่โขดมากที่สุด เพราะโขดเป็นส่วนหนึ่งของราก โดยเริ่มจากการที่โขดเจริญเติบ โตใต้ดินเมื่อแรกเริ่มปลูกื่อไม้ดอกชวนชมอายุได้ขนาดจึงเปลี่ยนกระถางให้ใหญ่ขึ้นเป็นระยะๆ ทุก 4 - 5เดือน เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้โขดได้เจริญเติบโตและเมื่อโขดใหญ่จึงเปลี่ยนให้เหมาะสมกับกระถางต่อไป
การขยายพันธ์
การปักชำกิ่ง ถือได้ว่าเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก ต้นใหม่ที่ได้จะมีลักษณะเหมือนต้นแม่ทุกประการ สามา รถทำได้ตลอดทั้งปีแตะช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือก่อนและหลังฤดูฝน (เดือนพฤษถาคมและเดือนมิถุนายนและ ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม)เพราะช่วงฤดูฝนอาจทำให้กิ่งช้ำและเน่าได้ง่าย ส่วนในฤดูแล้วกิ่งชำ อาจจะเจริญเติบโตข้าเพราะอากาศแห้งและร้อนเกินไป
การปักชำกิ่งมีขั้นตอนการปฎิบัติดังต่อไปนี้
1. เลือกตัดกิ่งที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป ยาวประมาณ 10-20 เซนติเ้มตร ไม่ต้องปลิดใบออกนอกจากส่วนโคน
2. ตัดโคนกิ่งในแนวเฉียงเป็นรูปปากฉลาม เพื่อสะดวกในการเสียบลงในวัสดุชำ
3. จุ่มโคนกิ่งปักชำลงในน้ำยาเร่งราก เอ็กโซติก 5-10 นาที แล้วจึ้งทิ้งไว้เืพื่อให้แห้งพอหมาด
4. นำกิ่งปักลงในวัสุที่มีส่วนผสมของขี้เถ้า แกลบ และทรายในอัตราส่วน 1:1 โดยปักให้ลึก 2-3 เซนติเมตร กดรอบโคนต้นพอแน่น
รดน้ำให้ชุ่มหรือรดด้วยน้ำยาผสมป้องกันเชื่อรา
5. ทิ้งไว้ในที่แสงแดดรำไร ประมาณ 20-25 วัน รากก็จะงอก หลังจากนั้นก็นำไปปลูกเลี้ยงต่อไป
 
การเสียบยอด
คือการนำยอดของชวนชมพันธุ์ดีมาเสียบกับตอชวนชมที่มีความแข็งแรง เป็นการเปลี่ยน ยอดของพันธุ์เดิมให้เป็นพันธุ์ใหม่ตามยอดที่นำมาเสียบ โดยยอดที่นำมาเสียบจะไม่มีการกลายพันธุ์ แต่วิธีนี้ ค่อนข่างยุ่งยากแต่ได้ผลเร้วและต้นใหม่ที่จะได้ฟื้นตัวและแข็งแรงเร็ว และมีความสวยงามอย่างมาก
 
การเตรียมต้นตอ
นิยมใช้ชวนชมพันธุ์ฮอลแลนด์ที่ได้จากการเพาะเมล็ดอายุ 5-7 เดือน ขึ้นไปมาเป็น ต้นตอหรือใช้พันธุ์พื้นเมืองที่โตเต็มที่ี่ เลือกเอาต้นที่แข็งแรง ไม่เป็นโรคและมีขนาดใกล้เคียงกับขนาดของ กิ่งพันธุ์ เพื่อรอยแผลที่ต่อจะได้สนิทและมีการเติบโตอย่างสมบูรณ์์ โดยการตัดขวางต้นตอห่างจากโคนโดย ประมาณ 5-10 เซนติเมตร ผ่ากลางกิ่งต้นตอเป็นปากฉลามหรือรูปตัววีประมาณ 1.5-2 เซนติืเมตรส่วนยอด ของต้นตอที่ตัดออกสามารถนำไปปักชำต่อไปได้
 
การเตรียมกิ่งพันธุ์
ใช้มีดที่คมและสะอาดตัดกิ่งพันธุ์ที่สมบูรณ์จากต้นแม่พันธุ์เพื่อนำไปเสียบกับต้นตอจากนั้นตัดส่วนยอดของกิ่งพันธุ์ออกให้เหลือส่วนโคนยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ให้มีใบติดอยู่ 1-2 ใบและ มีตาติดอยู่ 2-3 ตาเฉือนโคนกิ่งเป็นรูปลิ่มยาว 1.5-2 เซนติเมตร โดยประมาณให้สวมเข้ากันได้อย่างพอดี
การเสียบยอด
นำกิ่งพันธุ์ที่เตรัียมไว้มาเสียบลงในรอยผ่าของต้นตอ ให้รอยแผลของกิ่งพันธุ์และต้นตอ แนบสนิทกัน จากนั้นใช้เทปพลาสติกพันรอยต่อให้แน่นคลุมต้นที่เสียบกิ่งเรียบร้อยด้วยถุงพลาสติกเพื่อรัก ษาความชุ่มชื้น วางกระถางในที่แสงแดดร่ำไร เปิดถุงรดน้ำวันละ 1 ครั้ง ประมาณ 1-2สัปดาห์ หลังจากนั้น ประมาณ 2-4 สัปดาห์ จึงแกะเทปพลาสติกที่พันอยู่รอบรอยต่อออก
 
การตอนกิ่ง
ใช้วิธีการตอนแบบปาดกิ่ง โดยเลือกกิ่งตอนที่ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป เป็นกิ่งที่มีเส้นผ่าศูนย์ กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร ความยาวไม่เกิน 1ฟุตใช้มีดที่คมและสะอาดปาเข้าไปในเนื้อไม้เป็นแนวเฉียง ลึกเกือบกึ่งกลางลำต้น เช็ดยางออกแล้วจึงใช้ไม่จิ้มฟันหรือหลอดกาแฟค้ำกลางรอยปาดเพื่อไม่ให้รอยปาด สนิทกันทิ้งไว้ประมาณ 7 วันเพื่อรอให้แผลแห้งจากนั้นหุ้มรอยปาดด้วยดินหรือกาบมะพร้าว ห่อด้วยถุงพลาส ติก ใช้เชือกมัดหัวและท้าย ประมาณ 20-30 วันกิ่งตอนจะออกรากจึงตัดกิ่งตอนมาใช้ต่อไป
 
การเพาะเมล็ด
ควรใช้เมล็ดใหม่มาเพาะ เนื้่องจากจะทำให้มีเปอร์เซ็นต์การเจริญเติบโตที่สูง วัสดุที่ใช้ใน การเพาะมีส่วนผสมระหว่างทราบหยาบและขุยมะพร้าวในอัตรา 1:1 หรือขึ้เถ้าแกลบล้วนๆ โดยโรยหรือวาง เมล็ดบนวัสดุเพาะให้กระจายเท่าๆกันและกลบด้วยวัสดุเพาะเบาๆ จากนั้นรดน้ำที่ผสมยาป้องกันเชื้อราในปริ มาณไม่มากนัก วางภาชนะในที่มีแสงแดดร่ำไรโดยรดน้ำวันละ 1-2 ครั้งประมาณ 3-7 วัน เมล็ดจะงอกเป็น ต้นอ่อน เมื่อต้นกล้ามีใบเลี้ยงประมาณ 4-5 ใบ จึงเริ่มให้อาหารเสริม ฮอร์โมนและยาป้องกันเชื้อราอ่อนๆประ มาณสัปดาห์ละครั้ง เมื่อต้นชวนชมมีอายุ 1-2 เดือนจึงแยกไปปลูกในกระถางเดี่ยวต่อไป

โรคและแมลงศัตรู
ถึงแม้ชวนชมจะเป็นพืชที่ทนทานต่อความแห้งแล้ง มีโรคและแมลงรบกวนไม่มากเท่าไหร่  แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้ด ต้นชวนชมอาจมีการชะงักการเจริญเติบโต ทรุดโทรม และออกดอกน้อยลง ถ้าเรารู้วิธีการป้องกันแก้ไข หน้าฝนชวนชมก็จะเกิดโรคใบจุดป้องกันโดยการไว้ที่โล่ง มีอากาศถ่ายเทสะดวกและมีการใช้ยาฆ่าเชื้อราหรือใช้วิธีการทำหลังคาพลาสติกไว้คลุมห้างหรือร้านที่วางชวนชมอีกทีเป็นวิธีป้องกันสำคัญที่ไม่ทำให้เปลืองยา ส่วนเพลี้ยไฟ ไรแดงจะใช้ยาสารเคมีช่วย แต่ที่สำคัญที่สุดควรดูแลอย่างใกล้ชิดก่อนที่แมลงเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ไขเพราะอาจจะทำให้เสียหายมากแก้ไขไม่ทัน

ศิราวรรณ ประวัติดอกกล้วยไม้

                                     ประวัติดอกกล้วยไม้



                           
กล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ในวงศ์ Orchidaceae เป็นไม้ตัดดอกยอดนิยม เนื่องจากมีลักษณะดอกและสีสันลวดลายสวยงาม เป็นไม้ตัดดอกที่มีอายุการใช้งานได้นาน กล้วยไม้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของไทย เพราะเป็นไม้ส่งออกขายต่างประเทศทำรายได้เข้าประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท มีการปลูกเลี้ยงอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผสมเกสร เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เลี้ยงลูกกล้ายไม้ เลี้ยงต้นกล้ายไม้จนกระทั่งให้ดอก ตัดดอกบรรจุหีบห่อและส่งออกเอง แหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าที่สำคัญของโลกมี 2 แหล่งใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ลาตินอเมริกา กับเอเชียแปซิฟิค สำหรับในลาตินอเมริกาเป็นอาณาบริเวณ อเมริกากลางติดต่อกับเขตเหนือของอเมริกาใต้ ส่วนแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง จากการค้นพบประเทศไทยมีพันธุ์กล้วยไม้ป่าเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าประเทศไทย มีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการเจริญงอกงามของกล้วยไม้มาก และกล้วยไม้ป่าที่ในพบในภูมิภาคแถบนี้มีลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แตกต่างจากกล้วยไม้ในภูมิภาคลาตินอเมริกา การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศไทย จากการสำรวจในอดีตพบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกล้วยไม้อยู่ในป่าธรรมขาติไม่ต่ำกว่า 1,000 ชนิด ทั้งประเภทที่พบอยู่บนต้นไม้ บนพื้นผิวของภูเขาและบนพื้นดิน สรุปได้ว่าสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของประเทศไทยเอื้ออำนวย แก่การเจริญงอกงามของกล้วยไม้เป็นอย่างมาก ในอดีตชาวชนบทของไทย โดยเฉพาะในแหล่งที่เคยมีกล้วยไม้ป่าอุดมสมบูรณ์ ได้นำกล้ายไม้ป่ามาปลูกเลี้ยงโดยเลียนแบบธรรมชาติ โดยนำกล้วยไม้มาปลูกไว้กับต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ไกล้ๆ บ้านเรือน การเลี้ยงกล้วยไม้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นการปลูกเลี้ยงอย่างจริงจังโดยชาวตะวันตกผู้หนึ่ง ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย เห็นว่าสภาพแวดล้อมของประเทศไทยเหมาะสมสำหรับการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ จึงได้สร้างเรือนกล้วยไม้อย่างง่ายๆ และนำเอากล้วยไม้ป่าจากเขตร้อนของอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าแหล่งใหญ่แหล่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากกล้วยไม้ในเอเชียและเอเซียแปซิฟิค โดยนำมาปลูกเลี้ยงเป็นงานอดิเรกในขณะเดียวกันก็มีเจ้านายชั้นสูงและบรรดา ข้าราชการที่ใกล้ชิด ให้ความสนใจเลี้ยงกล้วยไม้เป็นงานอดิเรกเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มบุคคลสูงอายุซึ่งเลี้ยงกล้วยไม้เพื่อความสุขทางใจ การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ อย่างไรก็ตามการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบ คือ ในกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้มีเงินในยุคนั้น และเป็นการปลูกเลี้ยงที่นิยมกล้วยไม้พันธุ์ต่างประเทศ ส่วนกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในป่าของประเทศไทยจะนิยมและยกย่องเฉพาะพันธุ์ที่หายากและมีราคาแพง หลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในปี 2475 สภาพการเลี้ยง ก็ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบเช่นเดิม แต่ผลงานเกี่ยวกับการผสมพันธุ์กล้วยไม้ในต่างประเทศเริ่มมีอิทธิพลกระตุ้นให้ผู้เกี่ยวข้องกับวงการกล้วยไม้ในประเทศไทยสนใจกล้วยไม้ลูกผสมมากขึ้น มีการสั่งกล้วยไม้ลูกผสมจากประเทศในทวีปยุโรป สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพื่อนำเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทย การพัฒนาการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ เป็นไปอย่างจริงจัง เมื่อประมาณปี 2493 โดยได้มีการวิจัย นับตั้งแต่การรวบรวมปลูกในระดับพื้นฐาน ต่อมาในปี 2497 ได้เริ่มเปิดการฝึกอบรมการเลี้ยงกล้วยไม้ ให้แก่ประชาชนผู้สนใจทั่วไป และมีการจัดตั้งชมรมกล้วยไม้ขึ้นในปี 2498 ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมาคมกล้วยไม้เมื่อปี 2500 และในปีเดียวกันนี้ ได้เริ่มมีการนำเอาความรู้ในเรื่องกล้วยไม้และแนวความคิดในการพัฒนาวงการกล้วยไม้ออก เผยแพร่ทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุ และมีการผลิตเอกสารสิ่งพิมพ์เผยแพร่ ทำให้วงการกล้วยไม้ของประเทศไทย ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งมีการจัดตั้งสมาคมและสโมสรเกี่ยวกับกล้วยไม้ขึ้นในภาคและจังหวัดต่างๆ ในปี 2501 ได้มีการเปิดการสอนวิชากล้วยไม้ขึ้นในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นครั้งแรก เพื่อผลิตนักวิชาการและพัฒนางานวิจัยกล้วยไม้ของประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ไม่ได้จำกัดอยู่ภายในวงแคบอีกต่อไป จากการส่งเสริมดังกล่าว ทำให้มีการนำเข้ากล้วยไม้ลูกผสมจากต่างประเทศ เช่น จากฮาวายและสิงคโปร์จำนวนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ที่มีความรู้หันมารวบรวมพันธุ์ผสมและเพาะพันธุ์จากพ่อแม่พันธุ์ในประเทศ ทั้งที่เป็นพ่อแม่พันธุ์จากป่า และลูกผสมที่สั่งเข้ามาแล้วในอดีต ปี 2506 วงการกล้วยไม้ของไทยได้เริ่มมีแผนในการขยายข่ายงานออกไปประสานกับวงการกล้วยไม้สากล เพื่อยกระดับวงการกล้วยไม้ในประเทศให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ ปี 2509 เริ่มการทำสวนกล้วยไม้ตัดดอกอย่างจริงจัง เมื่อไทยเริ่มส่งออกกล้วยไม้ไปสู่ ตลาดต่างประเทศในยุโรปตะวันตก เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี ต่อมาจึงขยายตลาดไปสู่ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา และบางรัฐของสหรัฐอเมริกา

ศิราวรรณ ดาราศาสัตร์

                          ข่าวดาราศาสตร์

ค้นหาภูเขาไฟบนดาวเคราะห์ดวงอื่น ไม่ใช่เรื่องยาก

(11 ก.ย. 53) นักดาราศาสตร์พบวิธีใหม่ในการค้นหาการปะทุของภูเขาไฟที่อยู่บนดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นได้แล้ว เป็นช่องทางใหม่ในการศึกษาดาวเคราะห์ที่ไกลโพ้นอีกทางหนึ่ง ปัจจุบันเทคโนโลยีทางดาราศาสตร์สามารถถ่ายภาพดาวเคราะห์ที่อยู่ระบบสุริยะอื่น หรือดาวเคราะห์ที่เป็นบริวารของดาวฤกษ์ดวงอื่นได้แล้ว แต่ภาพที่ดีที่ ...

วัฏจักรสุริยะยาวผิดปกติ อาจเกี่ยวกับสายลำเลียงพลาสมา

(3 ก.ย. 53) ดวงอาทิตย์มีกัมมันตภาพต่าง ๆ เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา เช่นจุดมืด การลุกจ้า การพ่นมวลคอโรนา ความถี่ที่เกิดขึ้นมากน้อยผันแปรเป็นวัฏจักร มีคาบค่อนข้างสม่ำเสมอคือ 11 ปี แต่ในวัฏจักรที่เพิ่งผ่านมา ซึ่งนับเป็นวัฏจักรที่ 23 มีคาบยาวนานผิดปกติ ถึง 12.5 ปี ความผิดปกตินี้ยังเป็นปริศนาที่นัก ...

พบดาวเคราะห์ใหม่ ชื่อสุดเซ็กซี่

(24 ส.ค. 53) เมื่อเดือนที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์จากคาลเทคได้รายงานว่า ค้นพบดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นดวงใหม่ 4 ดวง ในจำนวนนี้ เป็นบริวารของดาวเอชดี 200964 สองดวง และเป็นบริวารของดาว 24 เซกซ์แทนต์อีกสองดวง ดาวเอชดี 200964 เป็นดาวฤกษ์อายุมากใกล้สิ้นอายุขัย อยู่ห่างจากโลก 223 ปีแสง ...

วงแหวนของดวงจันทร์เรีย

(13 ส.ค. 53) ดวงจันทร์ เรีย (Rhea) เป็นบริวารดวงหนึ่งของดาวเสาร์ เมื่อไม่นานมานี้เองที่นักดาราศาสตร์พบว่าดวงจันทร์ดวงเล็กดวงนี้มีความพิเศษไม่เหมือนบริวารดวงใดในระบบสุริยะ นั่นคือมีวงแหวนเป็นของตัวเองด้วย นับเป็นวัตถุแข็งเพียงดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีวงแหวน เรียโคจรรอบดาวเสาร์อยู่ใน ...

พบดาวแคระน้ำตาลโคจรรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์

(10 ส.ค. 53) การค้นพบและถ่ายภาพดาวแคระน้ำตาลได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับปัจจุบัน แต่การค้นพบครั้งนี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่ระยะห่างระหว่างดาวแคระน้ำตาลกับดาวฤกษ์สหายที่ใกล้มากเพียง 18 หน่วยดาราศาสตร์เท่านั้น ระยะทางนี้ใกล้เคียงกับวงโคจรของดาว ...

ดาวเคราะห์น้อยอาจชนโลกในปี 2725

(5 ส.ค. 53) โปรดจดจำและจับตาดาวเคราะห์น้อย 1999 อาร์คิว 36 (1999 RQ36) ให้ดี เพราะนักดาราศาสตร์จากสเปนพบว่า ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีโอกาสราว 1 ใน 1,000 ที่จะพุ่งชนโลกใน พ.ศ. 2725 คณะนักดาราศาสตร์นำโดยมาเรีย ยูจีเนีย ซันซาตูเรียว จากมหาวิทยาลัยวัลลาโดลิด ได้ติดตามและประเมิน


ซูเปอร์สตาร์ดวงใหม่

(28 ก.ค. 53) นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบดาวฤกษ์ที่ใหญ่ที่สุดและหนักที่สุดเท่าที่เคยรู้จัก มันหนักกว่าดวงอาทิตย์ถึง 300 เท่า และสว่างกว่าดวงอาทิตย์ถึง 10 ล้านเท่า ในบรรดาดาวฤกษ์นับล้านที่อยู่บนท้องฟ้า มีมวลมากน้อยต่างกัน บางดวงอาจมี ...

แสงวาบรังสีแกมมาซัดสวิฟต์ถึงวูบ

(27 ก.ค. 53) นักดาราศาสตร์พบแสงวาบรังสีแกมมาใหม่ที่รุนแรงที่สุดเท่าที่นักดาราศาสตร์เคยตรวจวัดได้ แสงวาบรังสีแกมมาเป็นการปะทุสั้น ๆ ของรังสีพลังงานสูงมาก โดยเฉลี่ยเกิดขึ้นวันละครั้ง การปะทุจะเริ่มจากรังสีแกมมาแล้วจางหายไปพร้อมกับตามมาด้วยแสงเรืองค้างของรังสีในย่านคว ...

พบพายุบนดาวเคราะห์ระบบสุริยะอื่นเป็นครั้งแรก

(15 ก.ค. 53) หากในอนาคตจะมีทัวร์อวกาศพาลูกทัวร์ไปท่องเที่ยวตามดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นแล้ว ดาวเคราะห์ชื่อ เอชดี 209458 บี (HD209458b) คงไม่อยู่ในรายการเป้าหมายเป็นแน่ ไม่เพียงแต่เพราะเหตุที่ดาวเคราะห์นี้ร้อนจัดและมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแก๊ส ...

วัตถุไคเปอร์บังดาวฤกษ์ เผยพื้นผิวขาวผิดปกติ

(23 มิ.ย. 53) คณะนักดาราศาสตร์จากหลายประเทศได้ร่วมสำรวจวัตถุไคเปอร์ชื่อ 55636 ด้วยวิธีใหม่ และได้พบว่าวัตถุดวงนี้สว่างกว่าวัตถุไคเปอร์ทั่วไป 55636 เดิมชื่อ 2002 TX300 โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยรัศมีวงโคจร 48 หน่วยดาราศาสตร์ วัตถุไคเปอร์ เป็นวัตถุในระบบสุริยะ คล้ายดาวพลูโต โคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ใน ...

ต้นกำเนิดของบรรยากาศดวงจันทร์

(10 มกราคม 53) หลายทศวรรษมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า ดวงจันทร์ที่เคยคิดว่าไม่มีบรรยากาศนั้น แท้จริงมีบรรยากาศที่บางเบามากปกคลุมอยู่ แต่ต้นกำเนิดของบรรยากาศดวงจันทร์ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าไอออนที่เป็นส่วนประกอบหลักของบรรยากาศของดวงจันทร์กำเนิดขึ้นจากพื้นผิวที่มีอันตรกิริยากับโฟตอนจากแสงอาทิตย์ พลาสมาจากแมกนิโตสเฟียร์ของโลก หรือกับฝุ่นอุกกาบาต

เคปเลอร์ค้นพบดาวเคราะห์ใหม่ 5 ดวง

(10 มกราคม 53) เคปเลอร์ กล้องโทรทรรศน์อวกาศใหม่แกะกล่องของนาซา ได้ประเดิมความสำเร็จก้าวแรกได้อย่างสวยงาม ด้วยการค้นพบดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นพร้อมกันทีเดียวถึงห้าดวง ดาวเคราะห์ทั้งห้าดวงนี้ได้ชื่อว่า เคปเลอร์ 4 บี, 5 บี, 6 บี, 7 บี และ 8 บี ทั้งหมดมีขนาดใหญ่กว่าโลก จัดเป็นประเภทที่เรียกว่า "พฤหัสร้อน" เนื่องจากมีมวลและอุณหภูมิสูงมาก มีขนาดตั้งแต่ใกล้เคียงกับดาวเนปจูนจนถึงใหญ่กว่า




วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553


                                                       ดอกมะลิ


    เหตุผลใดที่กำหนดให้ ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของ "วันแม่ " วันนี้บล้อคเกอร์ Warakorn มีคำ 
     ตอบ 
     มากฝากคุณๆ ผู้อ่าน
         "คำว่าแม่ "นั้นมีความหมายในใจลูกทุกคน จนยากที่จะเปรียบเทียบได้กับทุกสรรพสิ่งในโลก กับทุกสรรพสิ่งในโลก ดังคำขวัญที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานไว้ว่า “แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์ อย่าลืมว่ามีพระอรหันต์อยู่กับตัวแล้ว ควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้"
             ประเทศไทยเริ่มจัดงานวันแม่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน ต่อมามีการเปลี่ยนกำหนดงานวันแม่หลายครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนโดยให้ถือว่า วันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

          ด้วยเหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก คนไทยถือเป็นดอกไม้มงคล นิยมเอาดอกมะลิมาร้อยเป็นมาลัยเพื่อบูชาพระ และดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลายมะลิ นอกจากนี้ มะลิดอกแห้งก็ยังสามารถใช้ปรุงเครื่องยาหอมใช้บำรุงหัวใจได้เป็นอย่างดี

    “ดอกมะลิ” จึงกลายสัญลักษณ์หนึ่งที่มาพร้อมกับเทศกาล วันแม่” ซึ่งเป็นวันที่บรรดาลูกให้ความสำคัญกับผู้ที่ให้กำเนิดเป็นพิเศษ และไม่ว่าจะเลือกดอกมะลิพันธุ์ใด ที่มีประมาณ 10 กว่าพันธุ์ หรือ ซื้ออะไรให้แม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญเท่าความรู้สึกลึก ๆในหัวใจ ของแตละคนที่จะมอบความรัก ต่อแม่ทุกๆวัน และ คงไม่ยากจนเกินไปนัก หากเอ่ยคำว่า “รักแม่ กอดแม่ ให้ความสุขกับท่านทุกวัน" เพื่อให้ท่านได้ชื่นใจ เพราะคุณอาจโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ผ่านภาพ และเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า “ลูกรักแม่” วันแม่ปีนี้อย่าลืมทำให้แม่ผู้มีพระคุณได้มีความสุขกันนะครับ
                         

ยุภาพร ดอกลั่นทม

                                                                ดอกลั่นทม

                                                                 

       ลั่นทม เป็นไม้ดอกยืนต้นในสกุล Plumeria มีหลายชนิดด้วยกัน บางคนมีความเชื่อว่า ไม่ควรปลูกต้นลั่นทมในบ้าน เนื่องจากมีชื่อเป็นอัปมงคล คือไปพ้องกับคำว่า 'ระทม' ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ แต่ปัจจุบันนิยมเรียกชื่อใหม่ ว่า ลีลาวดี และนิยมปลูกกันแพร่หลายอย่างมาก ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ ได้แก่ จำปา, จำปาลาว และจำปาขอม เป็นต้น (สำหรับชื่อภาษาอังกกฤษ ได้แก่ Frangipani, Plumeria, Templetree)
ลั่นทม เป็นไม้ที่นำมาจากเขมร ทางภาคใต้ เรียกชื่อว่า "ต้นขอม" "ดอกอม" ส่วนใหญ่ที่ปลูกกันเป็น "ลั่นทมขาว" เล่ากันว่า ไม้นี้นำเข้ามาปลูกในไทย เมื่อคราวไปตีนครธม ได้ชัยชนะ นำต้นไม้นี้เข้ามาปลูก และเรียกชื่อเป็นที่ระลึกว่า "ลั่นธม" "ลั่น" แปลว่ ตี เช่น ลั่นฆ้อง ลั่นกลอง "ธม" หมายถึง "นครธม" ภายหลัง "ลั่นธม" เพี้ยนเป็น "ลั่นทม"
ลั่นทมเป็นพืชนิยมปลูกเพราะดอกมีสีสันหลากหลาย สวยงาม ได้แก่ขาว เหลืองอ่อน แดง ชมพู ฯลฯ บางดอกมีมากกว่า 1 สี
ดอกลั่นทมยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของประเทศลาว และพบได้มากบริเวณทางขึ้นพระธาตุที่เมืองหลวงพระบาง สำหรับในประเทศไทยนั้นมักพบต้นลั่นทมตามธรรมชาติทางภาคเหนือเป็นส่วนใหญ่[
คนโบราณมีความเชื่อว่า ต้นลั่นทมนั้น ไม่ควรปลูกในบ้าน ด้วยมีชื่ออัปมงคล คือไปพ้องกับคำว่า ระทม ซึ่งแปลว่า เศร้าโศก ทุกข์ใจ, จึงได้มีการเรียกชื่อเสียใหม่ให้เป็นมงคล ว่า ลีลาวดี ทั้งนี้ไม่ได้มีการกำหนดเปลี่ยนชื่อแต่อย่างใด[ต้องการอ้างอิง]
มีความเข้าใจผิดกันว่า ลีลาวดี นั้นเป็นชื่อพระราชทาน จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นชื่อพระราชทานจาก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ[1]
ดอกลีลาวดี
ลีลาวดี ถ้าแปลตามความหมายตามอักษรแล้ว ก็คือต้นดอกไม้ที่มีท่วงท่าสวยงามอ่อนช้อย ไม้นี้เดิมเรียก ลั่นทม เป็นไม้ยืนต้นในเขตร้อน ที่เห็นทั่วๆไปมีดอกสีขาว แดง ชมพู ชื่อเดิมของพันธุ์ไม้นี้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคำนี้ มาจากคำว่า ระทม ซึ่งหมายถึงความเศร้าโศก จึงไม่เป็นที่นิยมปลูกในบริเวณบ้านหรือที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตามมีผู้มีความรู้ด้านภาษาไทยกล่าวถึงคำว่า ลั่นทม ว่า ลั่นทมที่เรียกกันแต่โบราณ หมายถึง การละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข ดังนั้นคำว่า ลั่นทม แท้จริงแล้วเป็นคำผสมจาก ลั่น+ทม โดยคำแรกหมายถึง แตกหัก ละทิ้ง และคำหลังหมายถึงความทุกข์โศก [ต้องการอ้างอิง]
มีตำนานเล่าขานถึงที่มาของลั่นทมในลักษณะต่าง ๆ กัน อย่างไรก็ตามพันธุ์ไม้นี้ตามหลักสากลมีชื่อว่า ฟรังกีปานี (frangipani) และเรียกกันทั่วไปว่า พลูมมีเรีย (plumeria)

ยุภาพร ตำนานดอกทานตะวัน

ตำนาน ดอกทานตะวัน





 
ณ. โบสถ์ที่ถูกปิดตายมานานนับปี หากผู้ใดพบเห็นคงสะท้อนใจดวงจิต นึกสงสารหญิงงามที่ถูกทรมานกักขังด้วยเหตุใดมิมีผู้ใดล่วงรู้

หญิงงามผู้นี้มีนามว่า ไคลธี สาเหตุที่นางถูกกักขังอาจเป็นเพราะความงามที่ไม่มีหญิงใดมาเทียบเทียมหรือเพราะความใจดำของบิดาที่สั่งปิดตายยังสถานที่ที่นั่นโดยไร้ความเมตตาปราณี นางได้จำใจนิ่งอดทนอดกลั้นกับการที่ต้องถูกจองจำอย่างไร้อิสรภาพ
แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อนางสำรวจรอบๆ บริเวณซึ่งขณะนี้ไร้คนคุ้มกันหรือแม้แต่ข้ารับใช้ เพราะปัญญาอันเฉียบแหลม เธอได้หนีออกมาจากที่นั่นเพื่อไปยลแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ ดวงอาทิตย์ที่มอบแสงนั้นมันรูปร่างหน้าตาอย่างไรนางมิเคยรู้มาก่อน การหลุดพ้นครั้งนี้นางต้องได้เชยชมสมดั่งใจเป็นแน่แท้
กลางทุ้งหญ้าเขียวขจี นางนั่งเฝ้ามองรอคอยที่จะยลดวงอาทิตย์ที่แสนอบอุ่น ซึ่งขณะนั้น เทพอะพอลโลควบม้าผ่านคุ้งขอบฟ้ากว้างพร้อมกับแสงร้อนแรงพาดผ่าน เพียงแรกพบนางถึงกับหลงใหลชายหนุ่มรูปงามนึกภาพตามในฝันตลอดการกลับมายังโบสถ์
และทุกๆ วันนางหนีออกมาเพื่อที่จะรอพบพานชายในดวงจิตถึงแม้ต้องเจอกับขวากหนามหรือการลงทัณฑ์เช่นไรนางมิเคยกลัว ขอเพียงได้เฝ้ามองชายหนุ่มที่จะควบม้าอย่างสง่างามข้ามผ่านท้องฟ้ากว้างมาพร้อมกับแสงอรุณที่มิอาจล่วงรู้ความรู้สึกที่นางมอบให้เพียงสักนิด นางได้แต่หวังว่าหากคงจะมีสักวันที่ชายหนุ่มเหลียวมามองเธอบ้าง
เจ้าหญิงไคลธีตัดสินใจหนีออกจากการพันธนาการตลอดชีวิตด้วยความรู้สึกที่มั่นคงต่อเทพอะพอลโลที่นางได้เฝ้ามองมาตลอด ถึงแม้จะไม่อยู่ในสายตาแต่เพราะความรักที่เปี่ยมล้นดวงจิตนางจึงตั้งมั่นอธิฐานต่อทวยเทพบนฟากฟ้า ด้วยความรักที่นางมอบให้ชายคนหนึ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจตลอดมา หากเธอลับลาไปขอให้เธอได้เป็นทวยเทพแห่งผกา ที่ตั้งมั่นอยู่ตราบสิ้นแสงอัจจิมาตลอดกาล
หากขอให้เส้นผมนุ่มสีทองผ่องอำพันเป็นกลีบดอกเหลือง ดวงอาทิตย์นั้นไม่อาจผลักไส ขอเพียงสถิตอยู่ในดวงหทัยเทพอะพอลโลจอมใจข้าตลอดไปด้วยเทอญ
หลังจากเจ้าหญิงไคลีสิ้นลม เรียวขาของเธอได้หยั่งรากลึกลงไปในพื้นพสุธา แขนและลำตัวก็กลับกลายเป็นลำต้นใบไม้เขียว ใบหน้าอันอ่อนหวานกลับกลายเป็นสีน้ำผึ้ง เส้นผมไหมสีทองของเธอกลับกลายเป็นกลีบดอกไม้สีเหลืองสดใส คอยแหงนมองเทพแห่งดวงอาทิตย์ไปทุกแห่งหนโดยมิมีทางเหน็ดเหนื่อยและจะคอยหันมองตลอดจนกว่าดวงอาทิตย์ของเธอจะลาลับจากคุ้งขอบฟ้า ด้วยความรักและความภักดีตลอดกาล
ดอกทานตะวันจึงเปรียบเสมือนดอกแห่งความรักที่ซื่อสัตย์และมั่นคง หากมอบดอกทานตะวันให้คนรัก คนๆ นั้นก็คือคนที่เราจะรักและซื่อสัตย์ไปตลอดกาล เฉกเช่นนางไคลธีที่รักดวงอาทิตย์ของเธอตราบสิ้นนานเท่านาน

                                                                                                          
 

ยุภาพร ประวัติเข้าพรรษา

                                                           ประวัติเข้าพรรษา


                                                                

วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า อยู่) พิธีเข้าพรรษานี้ถือเป็นศาสนพิธีสำหรับพระภิกษุโดยตรง ละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม เริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา
ประวัติวันเข้าพรรษา
ในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติพระวินัยให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจำพรรษา เหล่าภิกษุสงฆ์จึงต่างพากันออกเดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ต่างๆ โดยไม่ย่อท้อทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ต่อมาชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พวกสมณะไม่ยอมหยุดพักสัญจรแม้ในฤดูฝน ในขณะที่นักบวชในศาสนาอื่น พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การที่พระภิกษุสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ แม้ในฤดูฝน อาจเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่ำโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากินจนถึงแก่ความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบให้ภิกษุประจำอยู่ที่วัดเป็นเวลา 3 เดือน พระสงฆ์ที่เข้าจำพรรษาแล้วจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้ แต่ถ้าหากเดินทางออกไปแล้วและไม่สามารถกลับมาในเวลาที่กำหนด คือ ก่อนรุ่งสว่าง ก็จะถือว่าพระภิกษุรูปนั้น"ขาดพรรษา"

แต่หากมีกรณีจำเป็นบางอย่าง พระภิกษุผู้จำพรรษาสามารถไปค้างที่อื่นได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษา แต่ก็จะต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน ก็คือ
1.การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย
2.การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้
3.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด
4.หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้

ประเภทของการเข้าพรรษา
การเข้าพรรษาแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

ปุริมพรรษา (เขียนอีกอย่างว่า บุริมพรรษา) คือ การเข้าพรรษาแรก เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 (สำหรับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน จะเริ่มในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง) จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หลังจากออกพรรษาแล้ว พระที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน ก็มีสิทธิที่จะรับกฐินซึ่งมีช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
ปัจฉิมพรรษา คือ การเข้าพรรษาหลัง ใช้ในกรณีที่พระภิกษุต้องเดินทางไกลหรือมีเหตุสุดวิสัย ทำให้กลับมาเข้าพรรษาแรกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไม่ทัน ต้องรอไปเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 แล้วจะไปออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งเป็นวันหมดเขตทอดกฐินพอดี ดังนั้นพระภิกษุที่เข้าปัจฉิมพรรษาจึงไม่มีโอกาสได้รับกฐิน แต่ก็ได้พรรษาเช่นเดียวกับพระที่เข้าปุริมพรรษาเหมือนกัน

เครื่องอัฏฐบริขารของภิกษุระหว่างการจำพรรษา
โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระภิกษุตามพุทธานุญาตที่ให้มีประจำตัวนั้น มีเพียง อัฏฐบริขาร ซึ่งได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน แต่ช่วงหน้าฝนของการจำพรรษาในสมัยก่อนนั้น กว่าพระสงฆ์จะหาที่พักแรมได้ บางครั้งก็ถูกฝนเปียกปอน ชาวบ้านผู้ใจบุญจึงถวาย "ผ้าจำนำพรรษา" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ผ้าอาบน้ำฝน เพื่อให้พระสงฆ์ได้ผลัดเปลี่ยน และยังถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันเป็นพิเศษในช่วงเข้าพรรษา จนเป็นประเพณีทำบุญสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

การปฏิบัติตนในวันเข้าพรรษา
แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำบุญ รักษาศีล และชำระจิตใจให้ผ่องใส ในวันนี้หรือก่อนวันนี้หนึ่งวัน พุทธศาสนิกชนมักจะจัดเครื่องสักการะเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ สามเณรที่ตนเคารพนับถือ หรือมีการช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ พอถึงวันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้นอบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น

มีประเพณีที่สำคัญและสืบทอดกันเรื่อยมา ก็คือ ประเพณีหล่อเทียนพรรษา สำหรับให้พระภิกษุและพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์ซึ่งเทียนพรรษาสามารถอยู่ได้ตลอด 3 เดือน และเป็นกุศลทานอย่างหนึ่งในการให้ทานด้วยแสงสว่าง อีกทั้งมีการ "ประกวดเทียนพรรษา" ของแต่ละจังหวัดโดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ
.กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันเข้าพรรษา
1.ร่วมกิจกรรมทำเทียนจำนำพรรษา
2.ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่ภิกษุสามเณร
3.ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล
4.อธิษฐาน งดเว้นอบายมุขต่างๆ
5.อยู่กับครอบครัว



                                                                                     

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ตำนานดอกกุหลาบ






กุหลาบขาว กับ กุหลาบแดง สีไหนเกิดก่อน ?

              


กุหลาบสีกุหลาบสื่อความหมาย

               ในวันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก ดอกกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ และของกำนัลของวันนี้ ดังนั้นเวลาที่คิดจะให้ดอกกุหลาบแก่ใครสักคน เราก็น่าจะรู้ความหมายของสีอันเป็นสื่อความหมายของดอกกุหลาบไว้บ้างก็น่าจะดี ซึ่งก็จะมีความดังนี้

  • สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ
  • สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์
  • สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง
  • ดอกกุหลาบสีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ
  • สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
  • กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย

ดอกกุหลาบช่อกุหลาบสื่อความหมาย

               จำนวนดอกกุหลาบในช่อก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สื่อความหมายได้เช่นกัน และในวันวาเลนไทน์หรือวันไหนๆ ถ้าคุณได้ช่อดอกกุหลาบจากใครสักคน เค้าคนนั้นอาจกำลังต้องการสื่อความหมายอะไรบางอย่างให้คุณรู้ก็เป็นได้

ความหมาย
รักแรกพบ
แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
ฉันรักเธอ
คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
เราสองคนจะรักกันตลอดไป
คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
เพื่อนแท้เสมอ
ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ
ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
ความรักของฉันเป็นรักแท้
ฉันรักเธอจนวันตาย
ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

นิทานเวตาล

เรื่องย่อนิทานเวตาล
 
 
 

ณ ฝั่งแม่น้ำโคทาวรี มีพระมหานครแห่งหนึ่งตั้งอยู่นามว่า ประดิษฐาน ที่เมืองนี้ในสมัยบรรพกาลมีพระราชาธิบดีองค์หนึ่ง ทรงนามว่า ตริวิกรมเสน ได้ครองราไชศวรรย์มาด้วยความผาสุก พระองค์เป็นราชโอรสของพระเจ้าวิกรมเสนผู้ทรงเดชานุภาพเทียมท้าววัชรินทร์
ต่อมาได้มีนักบวชชื่อ ศานติศีล ได้นำผลไม้มาถวายทุกวันมิได้ขาด ซึ่งพระราชาแปลกใจ และได้ไปพบในคืนหนึ่งตามนัด ได้ถามถึงเหตุผลและเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ โยคีศานติศีลจอมเจ้าเล่ห์ได้ขอให้พระราชาตริวิกรมเสนนำเวตาลมาให้ตนเพื่อจะประกอบมหายัญพิธี
พระราชาผู้มีสัจจะเป็นมั่น ได้ไปนำเวตาลมาให้โยคีเจ้าเล่ห์ แต่เวตาลก็พยายามหน่วงเหนี่ยวด้วยการเล่านิทานทั้งสิ้น ๒๔ เรื่องด้วยกัน ซึ่งแต่ละเรื่องจะมีคำถามให้พระราชาตอบ โดยมีข้อแม้ว่า หากพระราชาทราบคำตอบแล้วไม่ตอบ ศีรษะของพระราชาจะต้องหลุดจากบ่า และหากพระราชาเอ่ยปากพูดเวตาลก็จะกลับไปสู่ที่เดิม
และก็เป็นดังนั้นทุกครั้ง ที่พระราชาตอบคำถามของเวตาล เวตาลก็จะหายกลับไปสู่ต้นไม้ที่สิงที่เดิม พระราชาก็จะเสด็จกลับไปเอาตัวเวตาลทุกครั้งไป จนเรื่องสุดท้ายพระราชาไม่ทราบคำตอบ ก็ทรงเงียบไม่พูด เวตาลพอใจในตัวพระราชามาก เพราะเป็นพระราชาผู้ไม่ย่อท้อ ผู้มีความกล้าหาญ ทำให้เวตาลบอกความจริงในความคิดของโยคีเจ้าเล่ห์ ว่าโยคีนั้นแท้จริงแล้ว ต้องการตำแหน่งราชาแห่งวิทยาธร โดยจะเอาพระราชาเป็นเครื่องสังเวยในการทำพิธี และอธิบายถึงวิธีกำจัดโยคีเจ้าเล่ห์
เมื่อพระราชาเสด็จมาถึงโยคีตามที่นัดหมายไว้ ก็ปรากฎว่าโยคีได้เตรียมการทำอย่างที่เวตาลได้บอกกับพระราชาไว้ พระราชาจึงแก้โดยทำตามที่เวตาลได้อธิบายให้พระราชาฟัง พระราชาจึงได้ตำแหน่งราชาแห่งวิทยาธร และเวตาลได้บอกกับพระราชาตริวิกรมเสนว่า "ตำแหน่งนี้ได้มาเพราะความดีของพระองค์ ตำแหน่งนี้จะคอยพระองค์อยู่หลังจากที่ทรงเสวยสุขในโลกมนุษย์จนสิ้นอายุขัยแล้ว ข้าขอโทษในกาลที่แล้วมาในการที่ยั่วยวนประสาทพระองค์ แต่ก็ไม่ทรงถือโกรธต่อข้า บัดนี้ข้าจะถวายพรแก่พระองค์ ขอทรงเลือกอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาเถิด" พระราชาก็ตรัสว่า "เพราะเหตุที่เจ้ายินดีต่อข้า และข้าก็ยินดีในความมีน้ำใจของเจ้าเช่นเดียวกัน พรอันใดที่ข้าจะปรารถนาก็เป็นอันสมบูรณ์แล้ว ข้าเพียงแต่อยากจะขออะไรสักอย่างเป็นที่ระลึกระหว่างข้ากับเจ้า นั่นก็คือนิทานที่เจ้ายกปัญหามาถามข้าถึงยี่สิบสี่เรื่อง และคำตอบของข้าก็ให้ไปแล้วเช่นเดียวกัน และครั้งที่ยี่สิบห้าคือวันนี้ถือเป็นบทสรุป แสดงอวสานของเรื่อง ขอให้นิทานชุดนี้จงมีเกียรติแพร่กำจายไปในโลกกว้าง
เวตาลก็สนองตอบว่า ขอจงสำเร็จ โอ ราชะ บัดนี้จงฟังเถิด ข้าจะกล่าวถึงคุณสมบัติที่ดีเด่นของนิทานชุดนี้ สร้อยนิทานอันร้อยรัดเข้าด้วยกันดังสร้อยมณีสายนี้ ประกอบด้วยยี่สิบสี่เรื่องเบื้องต้น แลมาถึงบทที่ยี่สิบห้า อันเป็นบทสรุปส่งท้าย นับเป็นปริโยสาน นิทานชุดนี้จงเป็นที่รู้จักกันในนามของเวตาลปัญจวิงศติ (นิทานยี่สิบห้าเรื่องของเวตาล) จงมีเกียรติยศบันลือไปในโลก และนำความเจริญมาสู่ผู้อ่านทุกคน ใครก็ตามที่อ่านหนังสือแม้แต่โศลกเดียว หรือเป็นผู้ฟังเขาอ่านก็เช่นเดียวกัน จักรอดจากคำสาปทั้งมวล บรรดาอมนุษย์ทั้งหลาย มียักษ์ เวตาล กุษมาณฑ์ แม่มด หมอผีและรากษส ตลอดจนสัตว์โลกประเภทเดียวกันนี้ จงสิ้นฤทธิ์เดชเมื่อได้ยินใครอ่านนิทาน อันศักดิ์สิทธิ์นี้
พระศิวะได้ฟังเรื่องของต่าง ๆ ของเวตาลจบก็กล่าวชื่นชมในองค์พระราชาตริวิเสนมาก ซึ่งพระศิวะได้สร้างจากอนุภาคโดยให้มาปราบอสูรคนร้ายต่าง ๆ เมื่อพระราชาตริวิกรมเสนได้เป็นจอมราชันแห่งวิทยาธรทั้งโลกและสวรรค์แล้ว ก็เกิดความเบื่อหน่าย หันไปบำเพ็ญทางธรรมจนบรรลุความหลุดพ้น