ryaom

ryaom
รักนะคนดี

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ประวัติพระพุทธเจ้า

    ประวัติพระพุทธเจ้า
 
      
       พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระผู้อวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์   และไม่ใช่ผู้รับองค์การของพระผู้เป็นเจ้าให้ลง    มาช่วยปลดเปลื้องบาปของมวลชนในพื้นพิภพ  พระพุทธเจ้าคือบุคคลผู้มีกำเนิดอย่างธรรมดาเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย  แต่เป็นบุคคลเพียงคนเดียวตลอดหลานพันปีมาแล้ว  ที่เป็นผู้รู้แจ้งสัจธรรมด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์เอง  เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้แจ้งเห็นจริงแก่มวลมนุษย์  ฉุดมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์  เป็นผู้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  และเป็นผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา
                คำว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่ชื่อเฉพาะของพระองค์   แต่เป็นชื่อแสดงถึงสภาวะแห่งพระทัย  อันหมายความว่าพระองค์เป็นผู้ตื่นแล้ว  เป็นผู้สว่างแล้ว  เป็นพระนามที่ได้ด้วยพระปรีชาญาณของพระองค์เอง  ก่อนเสด็จออกผนวชพระองค์ทรงเป็นเจ้าชาย  พระนามว่า สิทธัตถะ  สกุลโคตรมะ  เป็นราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางมายา  ราชวงศ์ศากยะครองนครกบิลพัสดุ์  ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล
                เจ้าชายสิทธัตถะประสูติใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินี  วันเพ็ญวิสาขะ  ก่อนพุทธศักราช 80 ปีประสูติได้ 5 วัน  พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้ทำพิธีขนานพระนามว่า สิทธัตถะ  จากนั้น 2 วัน พระมารดาก็สิ้นพระชนม์  พระนางประชาบดี โคตมี  พระมาตุจฉา ทรงเลี้ยงดูต่อมา
                เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา  พระบิดาส่งไปศึกษาในสำนักครูวิศวามิตร  ทรงศึกษาได้รวดเร็วมากจนสิ้นความรู้จากอาจารย์  ทรงฝึกสมาธิขั้นปฐมฌานได้เมื่อพระชนมายุได้  16 พรรษา  พระราชบิดาทรงสู่ขอเจ้าหญิงยโสธรา  มาอภิเษกสมรสให้เป็นพระชายา  ทรงอยู่ครองเรือนเป็นเวลา 13 ปี ทรงมีพระโอรส 1 พระองค์  พระนามว่า ราหุล
                เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 29 พรรษาแล้ว  ทรงขบคิดปัญหาชีวิตหนักยิ่งขึ้น  ทรงเห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิตมากขึ้น  เกิดความเบื่อหน่ายชีวิตของการครองเรือน   ทรงพบ   คนแก่ คนเจ็บ และนักบวช  จึงได้เสด็จออกผนวช  เพื่อแสวงหาสัจธรรมตามแบบอย่างนักบวชในยุคนั้น  โดยมีความมุ่งหมายดังนี้
               1. ทรงเลิกบริโภคกาม  เพราะการบริโภคกามแม้จะเป็นสุข  แต่ก็สุขชั่วคราวและเป็นความสุขที่มีความทุกข์เจือปนอยู่  เปรียบเหมือนอาหารที่เจือปนด้วยยาพิษ  แม้จะมีรสอร่อยก็ไม่ควรบริโภค
               2. ทรงศึกษาหาทางให้พ้นจากความเกิด  ความแก่  และความตายให้ได้   (พระธรรมของพระองค์มีลักษณะทั้ง 3 ครบถ้วน)  เพราะเป็นภาวะที่ทำให้สรรพสัตว์ประสบความทุกข์ไม่มีวันสิ้นสุด
อันที่จริงคนที่บวชก่อนเจ้าชายสิทธัตถะก็มีมาก  แต่มีความแตกต่างจากพระองค์เป็นอย่างมากเพราะ
               1. บุคคลเหล่านั้นออกบวชเพราะบุคคลที่เคารพนับถือและผู้มีพระคุณบังคับให้บวชบ้าง  ขอร้องให้บวชบ้าง  โดยที่ตนเองไม่มีความตั้งใจที่จะบวช
               2. ได้รับความทุกข์  ความคับแค้นใจในการครองเรือนถึงออกบวช
               3. ได้ยินคนอื่นสรรเสริญว่าการบวชเป็นสุขก็เกิดอยากบวชลองดู
แต่เจ้าชายสิทธัตถะมิได้ตกอยู่ใน 3 ลักษณะนั้น กล่าวคือ
               1. พระราชบิดามิทรงปรารถนาให้ออกบวช
               2. พระองค์ไม่มีความทุกข์ความคับข้องพระทัยในชีวิตฆราวาส เพราะมีความสมบูรณ์ทุกอย่าง
               3. ไม่มีผู้ใดชักชวนให้พระองค์อออกผนวช   และพระองค์ก็มีพระชนมายุถึง 29 พรรษา  นับว่าเป็นผู้ใหญ่พอแล้ว  ทรงมีสติใคร่ครวญรอบคอบดีแล้ว
               พระองค์ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา ณ ตำบล อุรุเวลาเสนานิคม  ปัจจุบันเรียกว่า  พุทธคยา
               ทรงประกาศศาสนาอยู่เป็นเวลา 45 พรรษา  จึงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ณ ป่าสาละในกรุงกุสินารา ปัจจุบันเรียกว่า เมืองกาเซีย พระองค์ได้ตรัสกับภิกษุสงฆ์เป็นปัจฉิมโอวาทว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย   นี้เป็นวาจาสุดท้ายที่เราจะกล่าวแก่เธอทั้งหลาย   สังขารทั้งหลายมีความสิ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา  ท่านทั้งหลายจงทำความหลุดพ้นให้บริบูรณ์ถึงที่สุดด้วยความไม่ประมาทเถิด
               แม้พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานเป็นเวลานานถึง 2500 กว่าปีมาแล้วก็ตาม  แต่คำสั่งสอนอับประเสริฐของพระองค์หาได้ล่วงลับไปด้วยไม่  คำสั่งสอนเหล่านั้นยังคงอยู่และอำนวยประโยชน์สุขให้แก่มวลมนุษย์ตราบเท่าทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น